วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

คำสอนของพระพุทธเจ้า

"สัพพปาปัสสะ อกรณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา 
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, เอตัง พุทธาน สาสนัง"
"การไม่กระทำบาปทั้งปวง การยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม 
การชำระจิตให้ขาวรอบ, นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์"
พระพุทธดำรัสโอวาทปาฏิโมกข์

เป็นพระพุทธดำรัสซึ่งทรงตรัสไว้อย่างลงตัวกับอริยสัจ๔ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงตรัสรู้และสอนอริยสัจ ๔ 
นับเป็นความอัศจรรย์อย่างนึงว่าตลอด ๔๕ ปีที่ทรงสั่งสอนนั้น ซึ่งเนื้อหาบันทึกนั้นล้วนมีมากมาย แต่กระนั้นก็มีความลงตัวกันไม่ขัดแย้งกันเลย

อริยสัจ ๔ คือความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค ใจความสำคัญในพุทธศาสนา
อริยสัจ ๔ ผลเกิดจากเหตุ ทุกข์ เกิดจาก สมุหทัย ,นิโรธ(ความดับทุกข์ นิพพาน) เกิดจาก มรรค
......สมุหทัย(ตัณหา) แรงที่ทำปฏิกิริยาผลักดึงพันธนาการร้อยรัดจิตไว้ไม่ให้มีความอิสระจากประสาทสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังผลต่อสภาวะรับรู้ของมนุษย์ที่บิดเบือนจากความเป็นจริง ไปยังสถานการณ์ชีวิตที่สะท้อนผ่านโลกทัศน์ของเขา จากความไม่รู้หรืออวิชชา ๘ เปรียบได้ดั่งสิ่งสกปรกที่เกาะบนแว่นสายตา ทำให้ปฏิกิริยา ตอบสนองผ่านสถานการณ์นั้นๆ ที่เข้ามาอย่างถูกบ้าง ผิดไปบ้าง 
[ *อวิชชา๘ http://www.dhammachak.net/awicha8.pdf ]


"การไม่กระทำบาปทั้งปวง" 
......การไม่กระทำบาปทั้งปวง คือ ก้าวแรกบนเส้นทางเดินของมรรค ๘ เป็นการดำรงก้าวแรกของ"สัมมาทิฏฐิ" ก้าวบนเส้นทางโดยมีปัญญาความเห็นที่ถูกต้องในความเป็นจริง 
......กฏแห่งกรรมที่เป็นแรงสืบต่อ การไหลเวียนถ่ายเทของพลังงานและสสารหรือนามและรูป(จิตและกาย) จากเหตุอดีต สู่ผลปัจจุบัน และจากเหตุปัจจุบัน สู่ผลอนาคต

......เมื่อบุคคลได้เรียนรู้ว่า การกระทำอย่างนึงย่อมก่อให้เกิดผลอย่างนึง, ซึ่งหากเขาไม่ต้องการผลเช่นใด เขาก็จะไม่จงใจสร้างเหตุเช่นนั้นขึ้นมา , เขาจะเพียรศึกษาและเกิดปัญญา เพื่อไปดับที่สาเหตุ ไม่สร้างเหตุให้เป็นทุกข์กายใจตนเองและคนรอบข้าง 
......โดยเขาจะเรียนรู้ว่า การพยายามแก้ไขปลายเหตุเมื่อเกิดผลขึ้นมาแล้วนั้น ความพยายามเหล่านั้นอาจจะเป็นการสร้างสาเหตุใหม่ และอาจเพิ่มทิศทางใหม่ให้กระจายวงกว้างออกไป
........แม้ว่าปัจจุบันสิ่งที่ประสบอยู่ เขาจะไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใด มาจากสิ่งใด?ที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต ที่มีความสัมพันธ์กับเงื่อนเวลา เจตนา ผู้คน และสถานการณ์ อย่างไรบ้าง, หรือควรที่จะทำอย่างไร ที่จะไม่สร้างเหตุเพิ่ม เกิดวงรอบใหม่จากเหตุของเรื่องนี้สืบต่อไปยังอนาคต "ทุกสิ่งเกิดจากจิต หากสิ่งนั้นจะดับก็ดับลงที่จิตดวงนั้น"


สิ่งที่เราชาวพุทธได้เรียนรู้กันจากพุทธพจน์นี้ คือ ทางเลือก
ทางเลือก ของการตอบสนองจากทางจิตใจ วาจา และการกระทำ ด้วยระดับที่มีความสมดุลย์พอดี ไม่มากไม่น้อยไป 
........การกระทำผ่านทางเลือกของระดับของความมีสติที่เป็นปัจจุบันขณะ และการใช้เหตุผล การรักษาความดีงามรักษาความเป็นกุศลจิต โดยปราศจากอารมณ์เลือกที่รักมักที่ชังซึ่งอารมณ์ในลักษณะนี้มักจะทำให้มีทัศนคติเอนเอียง(เมื่อหางเสือคือทัศนคติถูกครอบงำในแง่ใด ความคิดเห็น คำพูด การกระทำ ที่ไหลไปตามทัศนคตินั้นก็ไม่เที่ยงตรงตามสิ่งที่ควรเป็นไปด้วย)
........"สัมมาวายะมะ" เป็นการ "ยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม" ซึ่งอยู่ท่ามกลาง การรักษาสมดุลย์ ความดีความงามกุศลจิตนั้นเกิดจากศรัทธา ความเพียร และสติที่จากการมีอนุสติขยายขอบเขตสู่ความมีสัมมาสติ

........ความดีงาม กุศลจิตที่จะดำเนินไปอย่างถูกต้องและตลอดรอดฝั่ง จำเป็นที่จะต้องเดินไปด้วยกันกับ สัมมาสติ คือมีความระลึกรู้ อย่างรู้ตัวทั่วพร้อม กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันขณะที่เกิดขึ้นกับกายและกับจิตใจ เป็นการเจริญสติ เพื่อระลึกรู้เห็นเท่าทันความเกิดขึ้น และความดับไป ในขอบเขตของร่างกายและจิตใจภายใน
........ซึ่งทั้งนี้ลักษณะนาม(ความรู้สึก นึก คิด สภาวอาการต่างๆของจิตใจ) หรืออาการที่เกิดขึ้นบนเรือนกาย มิได้เป็นการจงใจเลือกตั้งธงกำหนดไว้ล่วงหน้า ถึงสิ่งที่จะดูจะรู้ หรือจะเห็น หรือเลือกที่จะทำแต่เพียงสิ่งที่ได้รับฟังมาจากผู้อื่นอีกที แต่สิ่งที่เป็นอยู่นั้น เป็นการระลึกรู้สภาวธรรมที่กำลังเป็นปัจจุบันอยู่ เป็นสิ่งที่สดใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นกับกายใจเราอยู่
........เมื่อรู้สึกถึงสิ่งใด ระลึกรู้ถึงสิ่งนั้น หรือหาก ระลึกถึงสิ่งใด พึงรู้สึกถึงสิ่งนั้น, ด้วยใจที่เป็นกลางปราศจากความชอบหรือความชัง มีความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นปัจจุบัน นี้เป็นวิปัสสนาภายใน นี้เรียกว่า การเจริญสติปัฏฐาน ๔ 
[ *วิธีเจริญสติปัฏฐาน ๔ http://www.dhammachak.net/wimuttidham_ch3.pdf ]

"การชำระจิตให้ขาวรอบ"
........สัมปชัญญะ ความสติระดับสัมมาสติ และสมาธิ ทำให้เกิดปัญญา เป็นปัญญาที่จะกวาดล้างอวิชชา อัตตาตัวตน และมายา พันธนาการที่ห่อหุ้มจิตใจ
........การดำรงอยู่เป็นเอกัคตาจิต มีความตั้งมั่น เป็นหนึ่ง ไม่มีจิตสองเข้ามาแทรก ถ่วงหรือลากดึงไปหาความนึก ความคิดใดๆ
ล่วงแล้วโดยชอบจากจิตที่เป็นอดีต ละแล้วโดยชอบจากจิตที่ปรารภไปยังอนาคต แล้วโดยชอบ คือ ได้มาจากการไม่สร้างปฏิกิริยาความพยายามใดๆ ที่จะเข้าไปดับเข้าไปละในส่วนที่เป็นปฏิภาค สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจากความตั้งมั่น จิตบริสุทธิ์ คือความปราศจากสนิมจิตสิ่งปนเปื้อนที่เป็นนิวรณ์ทั้ง ๕

........ในองค์มรรคลำดับสุดท้าย คือ สัมมาสมาธิ คือรูปฌานทั้ง ๔ โดยลำดับ การดำรงอยู่ของสภาวะจิตที่เมื่อมีการสะสมชั่วโมงเพิ่มขึ้นก็จะมีความชำนาญ รักษาจิต ประคองจิต เกื้อกูลการเพาะบ่มอินทรีย์ภายในให้แก่กล้าและสมดุลย์โดยลำดับ คือ
ศรัทธา- เป็นความเชื่อมันเส้นทางการประคองจิตไว้ในกุศลธรรม ความหนักแน่น ในความสันโดษแห่งจิตใจ,
วิริยะ- เป็นความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ การรักษาต่อเนื่องของการดำรงจิตและการดำรงอยู่โดยไม่สร้างแรงปรารถนาใดๆ,
สติ- เป็นการระลึกรู้นามรูป การรักษาจิต การรักษาธรรมที่ยังให้เป็นกุศลจิต สติที่ได้รับการพัฒนาด้วยสติปัฏฐาน ๔,
สมาธิ- สัมมาสมาธิ ดังกล่าวไว้ในนี้ ,ปัญญา- คือสิ่งที่อยู่ในจิตเป็นภาวะตื่นรู้ภายในพัฒนาไปสู่ปัญญาประจักษ์อริยสัจ ๔
........อินทรีย์ทั้ง ๕ มีส่วนสำคัญที่สุด ในการบรรลุอริยสัจธรรม มรรค ผล นิพพาน 
........อุปมาเปรียบได้กับ บุคคลที่ต้องการข้ามฝั่ง ที่มีคลองห้วงน้ำขวางคั่นอยู่ เขาสร้างท่อนไม้มีไว้อยู่ ๕ ท่อน นำไปเป็นเสาปักลงในคลองเรียงต่อกัน ซึ่งการปักเรียงลงไปนั้นมีระดับที่พอดีไม่เหลื่อมล้ำกันทั้ง ๕ ท่อนแล้วนำไม้กระดานมาพาด เพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง

........ฉันใดก็ฉันนั้นข้อนี้ ท่อนไม้ ๕ ท่อนที่บุคคลสร้างเสริมปักลงไปในดิน เปรียบได้ดั่ง ผู้ปฏิบัติธรรมเพาะบ่มอินทรีย์ ๕ ณ จุดใดจุดนึงที่อินทรีย์สมดุล มรรคก็สมบูรณ์ไปด้วย, ไม้กระดานที่พาด เปรียบได้กับ เส้นทางสีทองที่นำสู่ฝั่งโน้น ,ฝั่งอีกด้านนึงของห้วงน้ำที่ได้ก้าวข้ามไป เปรียบได้กับ มรรค ผล นิพพาน, ห้วงน้ำ เปรียบได้กับ วัฏฏสังสารการเวียนว่ายตายเกิด
........ อินทรีย์ทั้ง ๕ ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ปฏิบัติที่ต้องการจะพัฒนาในธรรม
.การชำระจิตภายใน เป็นการเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น กำลังตั้งอยู่ และดับไปในภาวะเอกัคตาจิต อาการของปีติ สุข บริสุทธิ์ ทุกองค์ประกอบของแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน เมื่อมีการพินิจชำเลือง พิจารณาเป็นกลางโดยปราศจากความชอบความชังต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เป็นการพลิกไปสู่วิปัสสนา, ซึ่งทั้งนี้นั้น ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความแปรปรวนเป็นเช่นไร การที่เราเข้าไปบังคับบัญชาไม่ได้อาการเป็นเช่นไร ไม่ใช่ตัวตนที่จะนำเป็นเจ้าของ.. อาการเหล่านี้ที่แสดงออกภายในจิต นั้นพึงประจักษ์ชัดทราบได้ด้วยประสบการณ์ในสมาธิภาวนาผู้ปฏิบัติเอง ปัญญาภายในจึงจะพอกพูนสู่ปัญญาในอริยสัจ ๔ 
สมถะและวิปัสสนา ที่มีการดำเนินไปด้วยจังหวะความลงตัวและสมดุลย์ ที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ คือ สัมมาสมาธิ ที่ประกอบด้วยรูปฌานทั้ง ๔ โดยลำดับ

สมาธิภาวนาไม่มีข้างในไม่มีข้างนอก
........คือ ระดับความตื่นรู้ที่มีการขยายขอบเขตจากสมาธิภาวนาภายใน ออกภายนอกสู่ชีวิตประจำวัน ลมหายใจ การรักษาจิต การไม่คาดหวังสิ่งใดล่วงหน้าเกินจำเป็น วิธีลดละการประเมินค่าสิ่งต่างๆ ความสงบ การดำรงกุศลธรรม การชำระจิต ,ดังนี้ทำให้จิตบริสุทธิ์ขาวรอบ สภาวธรรมภายนอกจะถูกเติมเต็มออกมาจากข้างในโดยลำดับจวบจนไม่มีความแตกต่างกัน
[ อานาปานสติสมาธิภาวนา ธรรมศาลา :: อ่าน - อานาปานสติ สมาธิภาวนา ]


"สัพพปาปัสสะ อกรณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา 
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, เอตัง พุทธาน สาสนัง"
"การไม่กระทำบาปทั้งปวง การยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม 
การชำระจิตให้ขาวรอบ, นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์" 

พระพุทธดำรัสนี้ เป็นการกล่าวสอนให้ผู้ปฏิบัติเจริญมรรค๘ ให้สมบูรณ์พร้อม 
เมื่อมรรค๘ สมบูรณ์ การประจักษ์แจ้งอริยสัจ๔ ก็จะสมบูรณ์ 

อริยสัจ ๔ เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ความจริงอันประเสริฐ ๔ อย่างคือ ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ และ มรรคมีองค์๘ 

ในที่นี้ มีสิ่งมีอยู่เดิมก่อนหน้านั้นที่ผู้คนรู้จักกันแล้ว และมีสิ่งใหม่ที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นขึ้นด้วยพระองค์เอง 
....สิ่งที่มีคนยุคนั้นรู้จักกันก่อนหน้าแล้ว สมัยช่วงก่อนพุทธกาลและช่วงสมัยพุทธกาลที่ไม่ใช่สิ่งใหม่ คือ ทุกข์ เกิดจาก สมุหทัย(เหตุแห่งทุกข์) และสภาพของความดับทุกข์ หรือที่เรียกว่า นิโรธ นิรวาณ นิพพาน โมกษะ 

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบที่เป็นสิ่งใหม่ก็คือ มรรคมีองค์๘ หนทางปฏิบัติอันประเสริฐเพื่อถึงความดับทุกข์ 

.....กงล้อธรรมจักรเริ่มหมุนเป็นครั้งแรกที่สวนกวางทราย(อิสปตนะ มฤคทายวัน ) ที่ได้ทรงแสดงปฐมเทศนาธรรมจักรกัปปวัตนสูตรแก่ปัญจวัคคืย์ การปฐมเทศนาครั้งนั้น ต่อมาผู้คนมักจะใช้สัญญลักษณ์รูปปั้นแทนเป็นรูป กวางหมอบใกล้ธรรมจักร ถือว่าเป็นการเริ่มประกาศทรงเผยแพร่พระพุทธศาสนา ประกาศหลักสัจธรรม อริยสัจ๔ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น